ให้นักศึกษาอ่านระเบียบต่าง ๆ
ของกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อนักศึกษาอ่านระเบียบแล้วให้สรุปประเด็นที่สำคัญเช่น
ระเบียบกระทรวงศึกษาว่าด้วยเรื่องอะไร
ประกาศใช้เมื่อใด ใครเป็นผู้ลงนามในระเบียบนั้น เนื้อหาสาระที่ได้หรือค้นพบจากระเบียบนี้
ที่จะต้องนำไปปฏิบัติคือประเด็นใด โดยสรุปตามหัวข้อระเบียบที่กำหนดไว้ ดังหัวข้อดังต่อไปนี้ (31 ตัวระเบียบ
ลงในบล็อกของนักศึกษา)
1.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการขอบคุณและอนุโมทนา
พ.ศ.2 547.
ตอบ เรื่อง ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ
ว่าด้วยการขอบคุณหรืออนุโมทนา พ.ศ. 2547 ประกาศใช้ ประกาศใช้ วันที่ 30 กันยายน 2547 ผู้ลงนามในระเบียบ นายอดิศัย โพธารามิก
(รัฐมนตรีว่าการกระทวงศึกษาธิการ) เนื้อหาสาระที่ได้หรือค้นพบจากระเบียบนี้
ที่จะต้องนำไปปฏิบัติคือ
ข้อ 1 ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการขอบคุณหรือการอนุโมทนา พ.ศ. ๒๕๔๗”
ข้อ 2
ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป
ข้อ 3 ให้ยกเลิก
(1)ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการขอบใจหรืออนุโมทนา พ.ศ. ๒๕๒๓
(2)ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการขอบใจหรืออนุโมทนา
(ฉบับที่ ๒)
(3)หนังสือกระทรวงศึกษาธิการ ที่
ศธ ๐๒๐๒/๑๓๙๓๑ ลงวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๒๘ เรื่องการประกาศเกียรติคุณบัตร
ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับแก่ส่วนราชการและสถานศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ
ยกเว้นสถานศึกษาที่จัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาระดับปริญญาที่เป็นนิติบุคคล
ข้อที่ 4 เมื่อผู้บริจาคเงิน ทรัพย์สิน
หรือแรงงาน ไม่ว่ารายเดียวหรือหลายรายให้แก่ส่วนราชการหรือสถานศึกษา
สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้ผู้ดำรงตำแหน่งต่อไปนี้
ตอบขอบคุณหรืออนุโมทนาและออกประกาศ เกียรติคุณบัตร
(1)รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ สำหรับการบริจาคตั้งแต่สิบล้านบาทขึ้นไป
(2)หัวหน้าส่วนราชการต้นสังกัดที่ได้รับประโยชน์
สำหรับการบริจาคตั้งแต่ห้าล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่ถึงสิบล้านบาท
(3)ผู้อำนวยการสำนัก ผู้อำนวยการสำนักบริหาร
หัวหน้าส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่น
ที่มีฐานะเทียบเท่าสำนักหรือสำนักบริหารงาน ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
หรือผู้อำนวยการสถานศึกษา ที่ได้รับประโยชน์
สำหรับการบริจาคไม่ถึงห้าล้านกรณีบริจาคทรัพย์สิน
ให้คำนวณเป็นราคาเงินตามท้องตลาดของทรัพย์สินและหากทรัพย์สินที่บริจาคเป็นที่ดินให้ถือตามราคาที่เจ้าพนักงานที่ดินรับรองตามราคาประเมินทุนทรัพย์
ในขณะที่รับบริจาค
กรณีบริจาคแรงงาน
ให้คำนวณเป็นราคาตามอัตราจ้างขั้นต่ำของแต่ละจังหวัด
ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานกำหนดไว้
การรับบริจาคตามวรรคหนึ่ง ให้ส่วนราชการ สำนัก
สำนักบริหารงานส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าสำนักหรือสำนักบริหารงาน
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาหรือสถานศึกษาที่ได้รับประโยชน์ ประกาศชื่อ
ผู้บริจาคโดยใช้สื่อต่าง ๆ ตามความเหมาะสม สำหรับการบริจาคตั้งแต่หนึ่งล้านบาทขึ้นไป
ให้ประกาศอนุโมทนาลงราชกิจจานุเบกษาด้วย
ข้อที่ 5
ถ้าบริจาครายเดียวหรือหลายรายตั้งแต่ห้าล้านบาทขึ้นไป
เพื่อจัดสร้างสถานที่เป็นประโยชน์แก่ส่วนราชการหรือสถานศึกษา
สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อได้ตอบขอบคุณหรืออนุโมทนาและออกประกาศเกียรติคุณบัตรแล้ว
หากผู้บริจาคแสดงความจำนงขอพระบรมฉายาลักษณ์เป็นเกียรติยศแก่สถานที่ที่ได้สร้างขึ้นนั้นด้วย
ให้หัวหน้าส่วนราชการที่ได้รับประโยชน์รายงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเพื่อพิจารณานำความกราบบังคมทูลฝ่าละอองธุลีพระบาทขอรับพระราชทาน
พระบรมฉายาลักษณ์สำหรับประดิษฐาน ณ สถานที่ที่ได้สร้างขึ้นนั้น
ข้อที่ ๖
ให้ปลัดกระทรวงศึกษาธิการรักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้
2.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการประชาสัมพันธ์และการให้ข่าวสาร
พ.ศ.2548.
ตอบ เรื่อง ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการประชาสัมพันธ์และการให้ข่าวสาร
พ.ศ.2548 ประกาศใช้ วันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2548
ผู้ลงนามในระเบียบ นายจาตุรนต์ ฉายแสง (รัฐมนตรีว่าการกระทวงศึกษาธิการ) เนื้อหาสาระที่ได้หรือค้นพบจากระเบียบนี้
ที่จะต้องนำไปปฏิบัติคือ
การะชาสัมพันธ์ หมายความว่า การติดต่อ การสื่อสาร การติดตาม
การสอบถาม การรับฟัง การประสานงาน การให้สัมภาษณ์ การชี้แจง การแถลง การเผยแพร่
การโฆษณา และวิธีการอื่นใด ในลักษณะเดียวกัน
เกี่ยวกับข่าวสารตามอำนาจหน้าที่ของกระทรวงศึกษาธิการ
ข่าวราชการ หมายความว่า
ข่าวเกี่ยวกับนโยบาย แผนการปฏิบัติงาน
และผลงานของส่วนราชการหรือหน่วยงานในต้นสังกัด
การให้ข่าวราชการ หมายความว่า
การเผยแพร่ข่าวราชการ
และให้หมายความรวมถึงการให้สัมภาษณ์ที่จัดทำโดยผ่านสื่อมวลชนด้วย
ส่วนราชการ หมายความว่า ส่วนราชการในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ
และให้หมายความรวมถึงหน่วยงานในกำกับของกระรวงศึกษาธิการด้วย
ยกเว้นสถานศึกษาของรัฐที่จัดการศึกษาระดับปริญญาที่เป็นนิติบุคคลในสายบังคับบัญชาของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
หัวหน้าส่วนราชการ หมายความว่า
ปลัดกระทรวง เลขาธิการ
อธิการบดีหรือตำแหน่งที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเป็นอธิบดี
ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของส่วนราชการที่ไม่มีฐานะเป็นกรม
และให้หมายความรวมถึงหัวหน้าหน่วยงานในการกำกับกระทรวงศึกษาธิการด้วย
ข้อ 5 การประชาสัมพันธ์ หรือการให้ข่าวราชการเกี่ยวกับนโยบายและการปฏิบัติงานประจำกระทรวงศึกษาธิการให้รัฐมนตรีเป็นผู้ประชาสัมพันธ์หรือข่าวสารราชการ
การประชาสัมพันธ์
หรือการให้ข่าวสารราชการเกี่ยวกับนโยบายและการปฏิบัติงานประจำของส่วนราชการ
ให้หัวหน้าส่วนราชการหรือหัวหน้าหน่วยงานในการกำกับกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ประชาสัมพันธ์หรือให้ข่าวราชการ
ในการประชาสัมพันธ์หรือการให้ข่าวสารราชการตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง
ผู้มีอำนาจดำเนินการตามระเบียบนี้จะมอบหมายเป็นหนังสือให้แก่ผู้ดำรงตำแหน่งใดก็ได้โดยคำนึงถึงระดับตำแหน่ง
หน้าที่ และความรับผิดชอบของผู้ที่จะได้นับหมอบหมายเป็นสำคัญ
3.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการจัดตั้ง
รวม หรือเลิกสถานศึกษา ขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2550
ตอบ 3.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการจัดตั้ง
รวม หรือเลิกสถานศึกษา ขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2550 ประการใช้วันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2550 ผู้ลงนามในระเบียบ นายวิจิตร
ศรีสอ้าน (รัฐมนตรีว่าการกระทวงศึกษาธิการ) เนื้อหาสาระที่ได้หรือค้นพบจากระเบียบนี้
การจัดตั้งสถานศึกษา
ให้คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาพิจารณาจัดตั้งสถานศึกษาใหม่
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจัดทำแผนการจัดตั้งสถานศึกษา
และนำเสนอคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา
โดยสถานศึกษาที่จะจัดตั้งขึ้นในชุมชนใดต้องมีจำนวนนักเรียน
ดังต่อไปนี้ระดับประถมศึกษา
ต้องมีจำนวนนักเรียนในแต่ละรายอายุไม่น้อยกว่ายี่สิบห้าคนมาเข้าเรียน
ถ้ามีนักเรียนในแต่ละรายอายุไม่ถึงยี่สิบห้าคน แต่มากกว่าสิบคน
ให้จัดตั้งเป็นสาขาของสถานศึกษาอื่น ระดับมัธยมศึกษา
ต้องมีจำนวนนักเรียนที่จะมาเข้าเรียนชั้นละไม่น้อยกว่าแปดสิบคน
ถ้ามีนักเรียนไม่ถึงชั้นละแปดสิบคน แต่มากกว่าสี่สิบคน
ให้จัดตั้งเป็นสาขาของสถานศึกษาอื่น สถานที่ที่จะจัดตั้งสถานศึกษาต้องเป็นที่ดินที่มีหลักฐานอนุญาตให้ใช้
ตามประเภทของที่ดินอย่างถูกต้อง จำนวนไม่น้อยกว่ายี่สิบห้าไร่สถานศึกษาที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่จะต้องอยู่ห่างจากสถานศึกษาประเภทเดียวกัน
ที่ตั้งอยู่เดิมไม่น้อยกว่าหกกิโลเมตร ตามเส้นทางคมนาคม ให้บุคคล นิติบุคคล
องค์กรชุมชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนาสถานประกอบการ
และสถาบันสังคมอื่น ยื่นคำร้องขอให้จัดตั้งสถานศึกษาต่อสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
การรวมสถานศึกษา
ให้คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาพิจารณารวมสถานศึกษาตั้งแต่สองแห่งขึ้นไปเพื่อให้สถานศึกษามีการบริหารและจัดการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ
เกิดผลดีแก่ผู้เรียน ทั้งในด้านสิทธิโอกาส และคุณภาพการศึกษา
โดยจัดเป็นชั้นหรือช่วงชั้นการเลิกสถานศึกษาให้คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาพิจารณาเลิกสถานศึกษา
เมื่อสถานศึกษานั้นมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(1)
ไม่มีนักเรียนที่จะจัดการเรียนการสอน
(2) จำนวนนักเรียนลดลง
จนไม่สามารถพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาตามแนวทางการปฏิรูปการศึกษาได้
แนวปฏิบัติในการเลิกสถานศึกษา
ให้คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้ปกครอง
นักเรียนและชุมชน
แล้วให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานำเสนอคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา
พิจารณาให้สถานศึกษา
แจ้งผู้ปกครองนักเรียนและชุมชนทราบล่วงหน้า ไม่น้อยกว่าหนึ่งปี
ก่อน
วันเปิดภาคเรียนแรกของปีการศึกษาถัดไป ทรัพย์สินและชำระบัญชี
รวมถึงการดำเนินการโอนหรือจำหน่ายทรัพย์สินที่ยังคงเหลืออยู่ของสถานศึกษา
บรรดาเอกสารสำคัญของสถานศึกษาที่ถูกเลิกทุกประเภท ให้โอนไปอยู่ใน ความดูแล
รับผิดชอบของสถานศึกษาอื่นตามที่คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษากำหนด
4.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการการปฏิบัติของผู้กำกับห้องสอบ
พ.ศ.2548
ตอบ เรื่อง ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการการปฏิบัติของผู้กำกับห้องสอบ
พ.ศ.2548 ประการใช้ วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2548 ผู้ลงนามในระเบียบ นายจาตุรนต์
ฉายแสง (รัฐมนตรีว่าการกระทวงศึกษาธิการ) เนื้อหาสาระที่ได้หรือค้นพบจากระเบียบนี้
ที่จะต้องนำไปปฏิบัติคือ
ผู้กำกับการสอบต้องปฏิบัติตามระเบียบแผนการสอบ
โดยต้องไปถึงสถานที่สอบก่อนเวลา เริ่มสอบตามสมควร
กำกับการสอบให้ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย ไม่อธิบายคำถามใดๆในข้อสอบให้แก่ผู้เข้าสอบ
ไม่กระทำการใดๆ อันเป็นการรบกวนผู้เข้าสอบ รวมทั้งไม่กระทำการใดๆ
อันเป็นการทำให้การปฏิบัติหน้าที่ของผู้กำกับการสอบไม่สมบูรณ์
ต้องแต่งการให้สุภาพเรียบร้อยตามส่วนราชการ หรือสถานศึกษากำหนด
หากผู้กำกับการสอบทำการใด ประมาท เลินเล่อ หรือจงใจ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ถือว่าผิดวินัยร้ายแรง
5.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา
พ.ศ.2548
ตอบ เรื่อง 5.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา
พ.ศ.2548 ประกาศใช้ ประกาศใช้ วันที่ 18 กันยายน 2548
ผู้ลงนามในระเบียบ นายอดิศัย โพธารามิก (รัฐมนตรีว่าการกระทวงศึกษาธิการ) เนื้อหาสาระที่ได้หรือค้นพบจากระเบียบนี้
ที่จะต้องนำไปปฏิบัติคือ“การลงโทษ” หมายความว่า
การลงโทษนักเรียนหรือนักศึกษาที่กระทำความผิด โดยมีความมุ่งหมาย
เพื่อการอบรมสั่งสอนโทษที่จะลงโทษแก่นักเรียนหรือนักศึกษาที่กระทำความผิด มี 4
สถาน ดังนี้
1.ว่ากล่าวตักเตือน
2.ทำทัณฑ์บน
3.ตัดคะแนนความประพฤติ
4.ทำกิจกรรมเพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
ห้ามลงโทษนักเรียนและนักศึกษาด้วยวิธีรุนแรง
หรือแบบกลั่นแกล้ง หรือลงโทษ ด้วยความโกรธ หรือด้วยความพยาบาท
โดยให้คำนึงถึงอายุของนักเรียนหรือนักศึกษา
และความร้ายแรงของพฤติการณ์ประกอบการลงโทษด้วย
การลงโทษนักเรียนหรือนักศึกษาให้เป็นไปเพื่อเจตนาที่จะแก้นิสัยและความประพฤติไม่ดีของนักเรียนหรือนักศึกษาให้รู้สำนึกในความผิด
และกลับประพฤติตนในทางที่ดีต่อไปให้ผู้บริหารโรงเรียนหรือสถานศึกษา
หรือผู้ที่ผู้บริหารโรงเรียนหรือสถานศึกษามอบหมายเป็นผู้มีอำนาจในการลงโทษนักเรียน
นักศึกษา การว่ากล่าวตักเตือน
ใช้ในกรณีนักเรียนหรือนักศึกษากระทำความผิดไม่ร้ายแรง
การทำทัณฑ์บนใช้ในกรณีนักเรียนหรือนักศึกษาที่ประพฤติตนไม่เหมาะสมกับ
สภาพนักเรียนหรือนักศึกษา ตามกฎกระทรวงว่าด้วยความประพฤตินักเรียนและนักศึกษา
หรือกรณีทำให้ เสื่อมเสียชื่อเสียงและเกียรติศักดิ์ของสถานศึกษา
หรือฝ่าฝืนระเบียบของสถานศึกษา หรือได้รับโทษว่ากล่าว ตักเตือนแล้ว
แต่ยังไม่เข็ดหลาบ การทำทัณฑ์บนให้ทำเป็นหนังสือ
และเชิญบิดามารดาหรือผู้ปกครองมาบันทึกรับทราบความผิดและรับรองการทำทัณฑ์บนไว้ด้วย
การตัดคะแนนความประพฤติ ให้เป็นไปตามระเบียบปฏิบัติว่าด้วยการตัดคะแนน
ความประพฤตินักเรียนและนักศึกษาของแต่ละสถานศึกษากำหนด
และให้ทำบันทึกข้อมูลไว้เป็นหลักฐาน ทำกิจกรรมเพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
ใช้ในกรณีที่นักเรียนและนักศึกษากระทำความผิดที่สมควรต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
การจัดกิจกรรมให้เป็นไปตามแนวทางที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด
6.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยกำหนดเวลาและวันหยุดราชการของสถานศึกษา
พ.ศ.2547.
ตอบ เรื่อง 6.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยกำหนดเวลาและวันหยุดราชการของ
สถานศึกษา พ.ศ.2547 ประกาศใช้ ประกาศใช้ วันที่ 30 กันยายน
2547 ผู้ลงนามในระเบียบ นายอดิศัย โพธารามิก
(รัฐมนตรีว่าการกระทวงศึกษาธิการ) เนื้อหาสาระที่ได้หรือค้นพบจากระเบียบนี้
ที่จะต้องนำไปปฏิบัติคือ
ข้อ 5 ให้สถานศึกษาเริ่มทำงานตั้งแต่เวลา 08:30 นาฬิกาถึง 14:30 นาฬิกา
หยุดกลางวันเวลา 12:00 นาฬิกา ถึง13:00 นาฬิกา เป็นเวลาทำงานปกติ
โดยมรวันหยุดราชการประจำสัปดาห์ คือวันเสาร์และวันอาทิตย์
หยุดราชการเต็มวันทั้งสอง
สถานศึกษาใดมีความจำเป็นต้องกำหนดเวลาเริ่มทำงานหรือวันหยุดราชการประจำสัปดาห์นอกจากที่กำหนดไว้ตามวรรคหนึ่ง
ให้สถานศึกษาเป็นผู้กำหนดและรายงานส่วนราชการต้นสังกัดทราบ ทั้งนี้
ต้องมีเวลาทำงานสัปดาห์ละไม่น้อยกว่า 35 ชั่วโมง
ข้อ 6 วันปิดเรียนให้ถือว่า เป็นวันพักผ่อนของนักเรียน
ซึ่งสถานศึกษาอาจอนุญาตให้ข้าราชการหยุดพักผ่อนด้วยก็ได้
แต่ถ้ามีราชการจำเป็นให้ราชการมาปฏิบัติราชการเหมือนการมาปฎิบัติราชการตามปกติ
ข้อ 7 วันที่ถานศึกษาทำการสอนชดเชยหรือทดแทน
เนื่องจากสถานศึกษาสั่งปิดด้วยตุพิเศษหรือกรณีพิเศษต่างให้ถือว่าเป็นวันทำงานปกติตามระเบียบนี้
7.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการตั้งชื่อสถานศึกษา
พ.ศ.2547
ตอบ เรื่อง 7.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการตั้งชื่อสถานศึกษา พ.ศ.2547 ประกาศใช้ ประกาศใช้ วันที่ 30 กันยายน 2547 ผู้ลงนามในระเบียบ นายอดิศัย โพธารามิก
(รัฐมนตรีว่าการกระทวงศึกษาธิการ) เนื้อหาสาระที่ได้หรือค้นพบจากระเบียบนี้
สถานศึกษาที่มีความประสงค์จะขอเปลี่ยนหรือกำหนดชื่อสถานศึกษา
ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการตั้งชื่อสถานศึกษา
พ.ศ. 2547 ที่กำหนดไว้ มีสาระสำคัญดังนี้
1.การกำหนดชื่อสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
ให้ใช้คำว่า “โรงเรียน” เป็นคำขึ้นต้นและต่อท้ายด้วยชื่อจังหวัด
อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน วัด ชื่อบุคคลผู้ได้รับการจารึกในประวัติศาสตร์
หรือสถานที่อื่นใด แล้วแต่กรณี
2.การกำหนดชื่อสถานศึกษา
ต้องไม่ขัดกับกฎหมาย หรือระเบียบของทางราชการ
3.ไม่เป็นชื่อพระนามของพระมหากษัตริย์หรือพระราชินี
หรือพระบรมวงศานุวงศ์ เว้นแต่ได้รับพระราชทาน หรือสมเด็จพระสังฆราชประทานให้
และไม่เป็นชื่อพ้อง หรือ มุ่งหมายให้คล้ายกับราชทินนาม
เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของราชทินนามหรือทายาท
4.ชื่อสถานศึกษาต้องใช้ภาษาไทย
5.ชื่อสถานศึกษาที่กำหนด
ต้องไม่ซ้ำกับชื่อสถานศึกษาอื่น
6.ชื่อสถานศึกษาไม่ควรมีความยาวเกินความจำเป็น
7.หากสถานศึกษาใด
มีความประสงค์ที่จะกำหนดชื่อสถานศึกษาโดยใช้ชื่อผู้บริจาคเป็นชื่อสถานศึกษาหรือกรณีอื่น
ๆ ต่อท้ายนอกเหนือที่กำหนดไว้ใน ข้อ 1
ต้องเสนอขอความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
8.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการตั้งชื่ออาคาร
ห้อง หรืออุปกรณ์ของ สถานศึกษา พ.ศ.2549
ตอบ เรื่อง ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการตั้งชื่ออาคาร
ห้อง หรืออุปกรณ์ของ สถานศึกษา พ.ศ.2549 ประกาศใช้
ประกาศใช้ วันที่ 28 กันยายน 2549 ผู้ลงนามในระเบียบ คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา (รัฐมนตรีว่าการกระทวงศึกษาธิการ) เนื้อหาสาระที่ได้หรือค้นพบจากระเบียบนี้
กระทรวงศึกษาธิการได้ออกระเบียบฯ
ว่าด้วยการตั้งชื่ออาคาร ห้อง หรืออุปกรณ์ของสถานศึกษา พ.ศ. 2549 เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2549
กำหนดว่า “สถานศึกษา” หมายความว่า
สถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ยกเว้นสถานศึกษาสังกัดคณะกรรมการการอุดมศึกษา
และสถานศึกษาสังกัดคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
ให้มีการตั้งชื่อที่เหมาะสมกับการบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ ดังนี้
1. การตั้งชื่ออาคารของสถานศึกษา
ซึ่งมีผู้บริจาคให้สร้างอาคารทั้งหลัง โดยทุนทรัพย์ผู้เดียว
หากผู้บริจาคนั้นประสงค์จะจารึกชื่อไว้ในอาคาร
ควรให้เป็นไปตามความประสงค์ของผู้บริจาค
2. การตั้งชื่อห้องซึ่งผู้บริจาคทรัพย์สร้างโดยทุนทรัพย์ผู้เดียว
หากผู้บริจาคนั้นประสงค์จะจารึกชื่อไว้ที่ห้องควรให้เป็นไปตามความประสงค์ของผู้บริจาค
3. การที่มีผู้จัดซื้อให้
หรือบริจาคทรัพย์เพื่อซื้ออุปกรณ์โดยทุนทรัพย์ผู้เดียว
หากผู้จัดซื้อหรือผู้บริจาคนั้นประสงค์จะจารึกชื่อไว้ที่อุปกรณ์ให้เป็นไปตามความประสงค์ของผู้บริจาค
ถ้าผู้บริจาคทรัพย์เพื่อซื้ออุปกรณ์ร้อยละห้าสิบของราคาอุปกรณ์ขึ้นไป
ประสงค์จะจารึกชื่อและผู้ร่วมบริจาคทรัพย์เพื่อซื้ออุปกรณ์เห็นชอบด้วย
ให้จารึกชื่อผู้บริจาคนั้นไว้ที่อุปกรณ์
4. เพื่อเป็นการยกย่องบุคคลผู้มีคุณความดีเกี่ยวกับสถานศึกษาหรือท้องถิ่น
แม้ไม่ได้บริจาคทรัพย์ให้สร้างอาคาร หากสถานศึกษาเห็นสมควร และประชาชนสนับสนุนการจารึกชื่อผู้นั้นไว้ที่อาคาร
ให้อยู่ในดุลพินิจของส่วนราชการต้นสังกัดหรือส่วนราชการที่ต้นสังกัดมอบหมาย
9.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการแก้
วัน เดือน ปีเกิด ของนักเรียน และนักศึกษา พ.ศ.2547
ตอบ เรื่อง ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการแก้
วัน เดือน ปีเกิด ของนักเรียน และนักศึกษา พ.ศ.2547 ประกาศใช้ วันที่ 30 กันยายน 2547
ผู้ลงนามในระเบียบ นายอดิศัย โพธารามิก (รัฐมนตรีว่าการกระทวงศึกษาธิการ) เนื้อหาสาระที่ได้หรือค้นพบจากระเบียบนี้
ในกรณี วัน เดือน ปีเกิด
ของนักเรียนและนักศึกษาผิดพลาดไม่ตรงกับความเป็นจริงด้วยเหตุที่เจ้าหน้าที่ของสถานศึกษาเขียนผิดพลาดหรือเขียนตกให้หัวหน้าสถานศึกษาเป็นผู้แก้ไขให้ถูกต้องตามที่เป็นจริงในหลักฐาน
และการแก้ไขตกเติมให้ขีดฆ่าด้วยเส้นหมึกสีแดงโดยประณีตแล้วเขียนเติมลงใหม่ด้วยเส้นหมึกสีแดงโดยลงนามผู้แก้
และวัน เดือน ปี ย่อกำกับไว้ด้วยทุกแห่ง ในกรณีที่ วัน เดือน ปีเกิด
ของนักเรียนและนักศึกษาผิดพลาดและมีผู้ร้องขอให้แก้ผู้ร้องจะต้องส่งคำร้องตามแบบท้ายระเบียบนี้
และเอกสารหลักฐานมาแสดงต่อสถานศึกษาเพื่อประกอบการพิจารณาวินิจฉัย วัน เดือน
ปีเกิด ตามลำดับความสำคัญ ดังนี้ คือ
(ก) สูติบัตรหรือทะเบียนคนเกิด
(ข) ถ้าหากเอกสารหลักฐานตามข้อ (ก)
สูญหายหรือถูกทำลายก็ให้ส่งเอกสารอื่น ๆ ที่หน่วยราชการออกให้ เช่น สำเนาทะเบียนบ้าน
ทะเบียนทหาร ทะเบียนคนต่างด้าว บัตรประจำตัวประชาชน
(ค)
ในกรณีที่ปรากฏว่าเอกสารหลักฐานตามข้อ (ข) ที่หน่วยราชการออกให้นั้นวัน เดือน
ปีเกิด ไม่ตรงกัน ให้พิจารณาข้อเท็จจริงเป็นราย ๆ ไป
10.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการบริหารจัดการและขอบเขตการ
ปฏิบัติหน้าที่ของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่เป็นนิติบุคคลในสังกัดเขตพื้นที่
การศึกษา พ.ศ.2546
ตอบ เรื่อง 10.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการบริหารจัดการและขอบเขตการปฏิบัติหน้าที่ของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่เป็นนิติบุคคลในสังกัดเขตพื้นที่การศึกษา
พ.ศ.2546 ประกาศใช้ วันที่ 7 กรกฎาคม 2546
ผู้ลงนามในระเบียบ ปองพล อดิเรกสาร (รัฐมนตรีว่าการกระทวงศึกษาธิการ) เนื้อหาสาระที่ได้หรือค้นพบจากระเบียบนี้
ให้สถานศึกษามีวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่เพื่อจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ
และกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ
ในกิจการทั่วไปของสถานศึกษาที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอกให้ผู้อำนวยการสถานศึกษา
เป็นผู้แทนของนิติบุคคลสถานศึกษา
ให้สถานศึกษามีอำนาจปกครอง ดูแล บำรุง
รักษา ใช้ และจัดหาผลประโยชน์จากทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้แก่สถานศึกษา เว้นแต่การจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ที่มีผู้อุทิศให้สถานศึกษา
ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ
เมื่อจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ตามวรรคหนึ่งแล้ว
ให้สถานศึกษารายงานให้ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทราบโดยเร็ว
ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อการศึกษาเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
อาจวางระเบียบเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศตามวรรคหนึ่งก็ได้
ในกรณีที่จะต้องมีการจดทะเบียนสิทธิ ขึ้นทะเบียนหรือดำเนินการทางทะเบียนใดๆ
เกี่ยวกับทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้แก่สถานศึกษา ให้สถานศึกษาสามารถดำเนินการทางทะเบียนดังกล่าวได้ในนามนิติบุคคลสถานศึกษา
ในกรณีนิติบุคคลสถานศึกษาถูกฟ้องคดี
ให้สถานศึกษารายงานให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
เพื่อแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานทราบเพื่อดำเนินการแต่งตั้งผู้รับผิดชอบดำเนินคดีโดยเร็ว
สถานศึกษาจะมีอิสระในการบริหารจัดการงบประมาณในส่วนของที่ตั้งไว้สำหรับสถานศึกษา
ตามที่ได้รับการกำหนดวงเงินและได้รับมอบอำนาจจากเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
และผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาตามหลักเกณฑ์ที่เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนด
ทั้งนี้ ยกเว้นงบประมาณในหมวดเงินเดือน
สถานศึกษามีอิสระในการบริหารจัดการเกี่ยวกับการพัสดุในส่วนที่อยู่ในความดูแลรับผิดชอบ
หรืออยู่ในวงเงินงบประมาณที่ได้รับมอบตามหลักเกณฑ์ที่ระบุใน ข้อ 9 ทั้งนี้
ตามหลักเกณฑ์ที่เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานประกาศกำหนด
ข้อ 11
การรับบริจาคเงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้แก่สถานศึกษา
ให้สถานศึกษารับบริจาคตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการรับเงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคให้ทางราชการ
และตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานประกาศกำหนด
การบริหารจัดการเกี่ยวกับการเงินและบัญชีของสถานศึกษาให้เป็นไป
ตามระเบียบที่เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนด
11.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการพานักเรียน
และนักศึกษาไปนอก สถานศึกษา พ.ศ.2548
ตอบ เรื่อง ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการพานักเรียน
และนักศึกษาไปนอก สถานศึกษา พ.ศ.2548 ประการใช้ วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2548 ผู้ลงนามในระเบียบ นายจาตุรนต์
ฉายแสง (รัฐมนตรีว่าการกระทวงศึกษาธิการ) เนื้อหาสาระที่ได้หรือค้นพบจากระเบียบนี้
ให้ทำหนังสือขออนุญาตเสนอผู้มีอำนาจอนุญาต
ล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 15 วัน การพานักเรียนและนักศึกษาไปนอกสถานศึกษา
ครู นักเรียน (/2 คนขึ้นไป) กิจกรรมการเรียนการสอน
ในหรือนอกเวลาสอน(ไม่นับเดินทางไกล+อยู่ค่ายพักแรมฯ)การไปนอกสถานที่ตามคำสั่งในทางราชการการพาไปนอกสถานศึกษาไม่ค้างคืน
ผู้บริหารสถานศึกษาการพาไปนอกสถานศึกษาค้างคืน
ผอ.สพท./ผู้รับมอบหมาย/ผู้มีอำนาจเหนือสถานศึกษา 1 ชั้น
การพาไปนอกราชอาณาจักร หัวหน้าส่วนราชการ/ผู้ได้รับมอบหมายการควบคุม ผู้บริหารสถานศึกษาหรือผู้รับมอบหมาย ครู 1 : นักเรียนไม่เกิน 30 คน ถ้ามีนักเรียนหญิงต้องมีครูหญิง
ส่งคำขออนุญาตพร้อมโครงการต่อผู้มีอำนาจอนุญาตก่อน อนุญาตไปมาแล้วให้รายงานต่อผู้อนุญาตทราบถือว่าไปราชการ เบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
12.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการให้ข้าราชการไปศึกษาต่อและ
อบรมภายในประเทศ(ฉบับที่ 2) พ.ศ.2547
ตอบ 12.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการให้ข้าราชการไปศึกษาต่อและ
อบรมภายในประเทศ(ฉบับที่ 2) พ.ศ.2547 ประกาศใช้ วันที่ 30 กันยายน 2547
ผู้ลงนามในระเบียบ นายอดิศัย โพธารามิก (รัฐมนตรีว่าการกระทวงศึกษาธิการ) เนื้อหาสาระที่ได้หรือค้นพบจากระเบียบนี้
ข้าราชการครูต้องมีเวลารับราชการติดต่อกันไม่น้อยกว่า
24 เดือนเต็ม ทั้งนี้นับถึงวันที่ 15 มิถุนายน ของปีที่จะเข้าศึกษา
กรณีมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ข้าราชการที่มีเวลารับราชการติดต่อกันน้อยกว่า
24 เดือนเต็ม แต่ ไม่น้อยกว่า 12เดือนเต็ม ไปศึกษาต่อในสาขาวิชาที่เป็นประโยชน์และจาเป็นอย่างยิ่ง
จะต้องได้รับอนุญาตจากผู้มีอานาจอนุญาตเป็นรายๆ ไป มีอายุไม่เกิน 45 ปี บริบูรณ์
นับถึงวันที่15 มิถุนายน ของปีที่จะเข้าศึกษาปฏิบัติราชการด้วยดี
มีความประพฤติเรียบร้อย และไม่อยู่ระหว่างถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัย ในกรณีที่ถูกลงโทษทางวินัย
ระดับโทษต้องไม่สูงกว่าโทษภาคทัณฑ์ข้าราชการที่ถูกลงโทษตัดเงินเดือนจะไปศึกษาต่อได้
เมื่อพ้นโทษตัดเงินเดือนแล้ว หรือถ้าเป็น
ผู้ถูกลงโทษลดขั้นเงินเดือนจะไปศึกษาต่อได้
เมื่อถูกลงโทษลดขั้นเงินเดือนแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่าหกเดือน
ข้าราชการที่อยู่ในระหว่างลาศึกษาต่อภายในประเทศภาคปกติ
จะสมัครสอบหรือสอบคัดเลือกเพื่อไปศึกษา หรือฝึกอบรมอื่นใดมิได้
มีคุณสมบัติและพื้นความรู้ตามระเบียบที่สถาบันการศึกษานั้นๆ กาหนดไว้
ข้าราชการที่เคยได้รับอนุญาตให้ไปศึกษาต่อภาคปกติ
หรือศึกษาต่อต่างประเทศแล้วจะศึกษาต่ออีก ต้องกลับไปปฏิบัติราชการตามที่กาหนดในข้อ
1
กรณีที่มีความจาเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ข้าราชการซึ่งกลับมาปฏิบัติราชการไม่ครบตามกาหนดไปศึกษาต่ออีก
จะต้องได้รับอนุญาตจากผู้มีอานาจอนุญาตเป็นรายๆ ไป
จำนวนผู้ที่จะได้รับการคัดเลือกให้ไปศึกษาต่อ
ต้องไม่เกิน 5% ของจานวนข้าราชการ ในสถานศึกษา หรือ หน่วยงานนั้นๆ ทั้งนี้
รวมทั้งข้าราชการที่กาลังศึกษาต่ออยู่ภายในประเทศและต่างประเทศด้วย
เศษถึงครึ่งให้ปัดเป็น 1 คน (ไม่นับฝ่ายบริหาร)
และข้าราชการที่เหลืออยู่จะต้องสอนไม่เกินคนละ 22 คาบต่อสัปดาห์ ในหมวดวิชานั้นๆ
หรืออยู่ในดุลยพินิจของผู้มีอานาจอนุญาต
สถานศึกษาหรือหน่วยงานใด
มีข้าราชการจานวนน้อย และคิดเป็นโควตาไม่ได้ แต่มีผู้สอบ คัดเลือกเพื่อศึกษาต่อได้
ให้ศึกษาต่อได้โรงเรียนหรือหน่วยงานละไม่เกิน 1 คน
13.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการจัดกิจกรรมสหกรณ์ใน
สถานศึกษา พ.ศ.2548.
ตอบ เรื่อง ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการจัดกิจกรรมสหกรณ์ใน
สถานศึกษา พ.ศ.2548.ประการใช้ วันที่ 30 กันยายน พ.ศ.
2548 ผู้ลงนามในระเบียบ นายจาตุรนต์ ฉายแสง (รัฐมนตรีว่าการกระทวงศึกษาธิการ) เนื้อหาสาระที่ได้หรือค้นพบจากระเบียบนี้
ให้สถานศึกษาต่าง
ๆ ส่งเสริมให้มีการจัดกิจกรรมสหกรณ์ขึ้นในสถานศึกษาโดยให้มีครูอาจารย์ นักเรียน
นิสิต นักศึกษา และเจ้าหน้าที่อื่น ๆ ในสถานศึกษาเป็นสมาชิก
ในการจัดกิจกรรมสหกรณ์ในสถานศึกษา
ให้มุ่งถึงประโยชน์ทางการศึกษาเป็นประการสำคัญ
เงินที่ใช้ในการจัดกิจกรรมสหกรณ์ดังกล่าวนี้เรียกว่า “เงินกิจกรรมสหกรณ์” ไม่ใช่เงินบำรุงการศึกษา และอยู่นอกการควบคุมของระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ
ว่าด้วยเงินบำรุงการศึกษา
พ.ศ. 2520 ให้จัดทำบัญชีตามวิธีการของสหกรณ์แต่ละประเภท
โดยอยู่ในความควบคุมของสถานศึกษา
สถานศึกษาใดเริ่มจัดกิจกรรมสหกรณ์เมื่อใดสำหรับสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในส่วภูมิภาคให้รายงานให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทราบสำหรับสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในส่วนกลางหรือขึ้นตรงกับส่วนกลางให้รายงานอธิบดีเจ้าสังกัดทราบ
สถานศึกษาใดเลิกจัดกิจกรรมสหกรณ์เมื่อใด
ให้รายงานต่อผู้ว่าราชการจังหวัดหรืออธิบดีเจ้าสังกัด ตามความทราบ แล้วแต่กรณี
ข้อบังคับของกิจกรรมสหกรณ์แต่ละประเภท ให้เป็นไปตามที่กระทรวงศึกษากำหนด
ให้สถานศึกษารายงานผลการดำเนินงาน
สถานะการเงินและงบดุลให้ผู้ว่าราชการจังหวัดหรืออธิบดีเจ้าสังกัดทราบทุกปี
หลังการประชุมใหญ่ประจำปี
กิจกรรมสหกรณ์ประเภทใดของสถานศึกษาใด ซึ่งได้ดำเนินการอยู่ก่อนวันใช้ระเบียบนี้
ให้ถือว่าการดำเนินการกิจกรรมสหกรณ์ประเภทนั้นของสถานศึกษานั้นมีผลสมบูรณ์
14.หลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการจัดข้าราชการเข้าพักอาศัยในที่พักของทางราชการ
พ.ศ.2550
ตอบ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการจัดข้าราชการเข้าพักอาศัยในที่พักของทาง
ราชการ พ.ศ.2550 .ประการใช้ วันที่ 25 มกราคม พ.ศ.
2550ผู้ลงนามในระเบียบ หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล (รัฐมนตรีว่าการกระทวงศึกษาธิการ) เนื้อหาสาระที่ได้หรือค้นพบจากระเบียบนี้
กำหนดหลักการเพิ่มเติมให้ผู้มีอำนาจจัดที่พักของส่วนราชการสามารถใช้ดุลพินิจจัดให้ข้าราชการที่บรรจุเข้ารับราชการครั้งแรก และเดือดร้อนในเรื่องที่อยู่อาศัยเข้าพักในที่พักของทางราชการได้
โดยจะต้องไม่ก่อให้เกิดภาระงบประมาณเพิ่มขึ้น
กล่าวคือหากส่วนราชการใดจะใช้ดุลพินิจดังกล่าว จะต้องบริหารเงินงบประมาณที่ได้รับให้อยู่ภายในวงเงินที่ได้รับจัดสรรด้วย
แก้ไขบทบัญญัติที่อ้างอิงให้ถูกต้องสอดคล้องกับพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ
พ.ศ. 2547
รวมทั้งปรับปรุงถ้อยคำของหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติบางส่วนให้มีความชัดเจนและเข้าใจยิ่งขึ้น
เช่น บทบัญญัติที่อ้างฐานอำนาจให้ออกหลักเกณฑ์ฯ
จากเดิมที่อ้างตามพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. 2527 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เปลี่ยนเป็นพระราชกฤษฎีกาเช่าบ้านข้าราชการ
พ.ศ. 2547 เป็นต้น
15.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการขยายชั้นเรียนในสถานศึกษา ขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2550.
ตอบระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการขยายชั้นเรียนในสถานศึกษา
ขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2550 ประการใช้ วันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ.
2550 ผู้ลงนามในระเบียบ วิจิตร ศรีสอ้าน (รัฐมนตรีว่าการกระทวงศึกษาธิการ) เนื้อหาสาระที่ได้หรือค้นพบจากระเบียบนี้
ที่จะต้องนำไปปฏิบัติ คือ
หมวด ๑
การขยายชั้นเรียนระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา
ข้อ ๖ การขยายชั้นเรียนระดับประถมศึกษา
ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ และชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖
ให้คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาพิจารณาตามความเหมาะสม
ข้อ ๗
การขยายชั้นเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นให้คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาพิจารณาจากองค์ประกอบต่าง
ๆ ดังนี้
(๑)สถานศึกษาต้องผ่านการประเมินคุณภาพการศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน
(๒)สถานศึกษาต้องมีอาคาร
สถานที่เหมาะสม เพียงพอ และเอื้อต่อการจัดการเรียนการสอน
(๓)สถานศึกษาต้องมีจำนวนนักเรียนที่จะเข้าศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่
๑ไม่น้อยกว่า ๔๐ คน
(๔)สถานศึกษาต้องมีครูที่มีคุณวุฒิ
ความรู้ ความสามารถตรงกับงานที่รับผิดชอบมีความสามารถในการจัดการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ
และมีครูเพียงพอในกลุ่มสาระการเรียนรู้หลัก
(๕)
สถานศึกษาต้องมีครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มีศักยภาพ
พร้อมที่จะรองรับการจัดการศึกษาตลอดหลักสูตร
ข้อ ๘
การขยายชั้นเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายให้คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาพิจารณาจากองค์ประกอบต่าง
ๆ ดังนี้
(๑)สถานศึกษาต้องผ่านการประเมินคุณภาพการศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานภาพรวมอยู่ในระดับดี
(๒)สถานศึกษาต้องมีอาคาร
สถานที่เหมาะสม เพียงพอ และเอื้อต่อการจัดการเรียนการสอนทั้งนี้ให้มีห้องเรียน
ห้องปฏิบัติการ ห้องสมุด พื้นที่สีเขียว
และสิ่งอำนวยความสะดวกเพียงพอและอยู่ในสภาพใช้การได้ดี
มีการจัดและใช้แหล่งเรียนรู้ทั้งในและนอกสถานศึกษา
(๓)
สถานศึกษาต้องมีจำนวนนักเรียนที่จะเข้าศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔
ไม่น้อยกว่า ๔๐ คน
(๔)
เป็นพื้นที่ที่มีอัตราการเรียนต่อระดับมัธยมศึกษาตอนปลายต่ำ
ในกรณีที่เป็นพื้นที่พิเศษให้คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาพิจารณาถึงเหตุผลและความจำเป็นในการขอขยายชั้นเรียน
(๕)
สถานศึกษาต้องมีแผนชั้นเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ไม่น้อยกว่า ๕ ห้องเรียน
(๖)
สถานศึกษาต้องมีครูที่มีคุณวุฒิ ความรู้
ความสามารถตรงกับงานที่รับผิดชอบมีความสามารถในการจัดการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ
และมีครูเพียงพอทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้
(๗)
สถานศึกษาต้องมีครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มีศักยภาพ พร้อมที่จะรองรับการจัดการศึกษาตลอดหลักสูตร
หมวด ๒ การดำเนินการขยายชั้นเรียน
ข้อ ๙ การขอขยายชั้นเรียน
ให้สถานศึกษาปฏิบัติ ดังนี้
(๑)
จัดทำแผนขยายชั้นเรียนเสนอคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานให้ความเห็นชอบ
(๒)
เสนอเรื่องการขอขยายชั้นเรียนพร้อมเอกสาร หลักฐานที่เกี่ยวข้องไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ก่อนเปิดภาคเรียนที่หนึ่งของปีการศึกษาไม่น้อยกว่า ๑๘๐ วัน
ข้อ ๑๐ การพิจารณาขยายชั้นเรียน
ให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปฏิบัติ ดังนี้
(๑)
ตรวจสอบข้อมูลเอกสารและหลักฐานที่เกี่ยวข้อง โดยแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ
และประเมินความพร้อมในการขยายชั้นเรียน
(๒)
เสนอข้อมูลและความเห็นต่อคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาเพื่อพิจารณาตามที่กำหนด
ไว้ในหมวด ๑ และหมวด ๒
ประกอบการพิจารณาอนุญาต
(๓)
การดำเนินการตาม (๑) และ (๒)
ให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๔๕ วัน
นับแต่วันที่ได้รับคำขอ
(๔)
แจ้งผลการพิจารณาของคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาให้สถานศึกษาที่เกี่ยวข้องทราบกรณีอนุญาต
ให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจัดทำประกาศการขยายชั้นเรียน และให้จัดระบบส่งเสริม
สนับสนุนให้สถานศึกษา
สามารถพัฒนาระบบการประกันคุณภาพภายในให้มีประสิทธิภาพพร้อมรับการประเมินคุณภาพภายนอก
ข้อ ๑๑ ให้สำ
นักงานเขตพื้นที่การศึกษารายงานการขยายชั้นเรียนให้เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
เพื่อทราบและให้การสนับสนุน
ข้อ ๑๒
การขยายชั้นเรียนสำหรับสถานศึกษาในพื้นที่พิเศษให้คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาพิจารณาตามความเหมาะสม
ข้อ ๑๓
การขยายชั้นเรียนสำหรับสถานศึกษาที่ไม่มีความพร้อมตามหมวด ๑ แต่มีความจำเป็น
ต้องขยายชั้นเรียน
ให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเตรียมความพร้อมให้กับสถานศึกษาและขอ
ความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พร้อมเหตุผลความจำเป็นและแนวทางพัฒนาให้กับสถานศึกษา
ข้อ ๑๔
ในกรณีนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในระเบียบนี้ให้เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานนำเสนอขอความเห็นชอบคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อประกอบการพิจารณาสั่งการ
16. ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการจัดตั้ง
รวม หรือเลิกสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2550.
ตอบ ระเบียบกระทรวงศึกษาว่าด้วยเรื่อง
การจัดตั้ง รวม หรือเลิกสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2550
ประกาศใช้เมื่อ
วันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2548
ผู้ลงนามในระเบียบ
นายวิจิตร ศรีสอ้าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการจัดตั้ง
รวม หรือเลิกสถานศึกษา ขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2550.ประการใช้ วันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2550 ผู้ลงนามในระเบียบ วิจิตร ศรีสอ้าน
(รัฐมนตรีว่าการกระทวงศึกษาธิการ
17.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้า
หน้าที่ส่งเสริมความประพฤตินักเรียนและนักศึกษา พ.ศ. 2548
ตอบระเบียบกระทรวงศึกษาว่าด้วยเรื่อง
การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ส่งเสริมความประพฤตินักเรียนและนักศึกษา
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 6 และมาตรา 65 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546
กระทรวงศึกษาธิการ
ประกาศใช้เมื่อ
วันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2548
ผู้ลงนามในระเบียบ
นายอดิศัย โพธารามิก
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เนื้อหาสาระที่ได้หรือค้นพบจากระเบียบนี้เจ้าหน้าที่มีอำนาจดำเนินการเพื่อส่งเสริมความประพฤตินักเรียนและนักศึกษาดังต่อไปนี้
1.สอบถามครู
อาจารย์ หรือหัวหน้าสถานศึกษา เกี่ยวกับความประพฤติ การศึกษา
นิสัยและสติปัญญาของนักเรียนหรือนักศึกษาที่ฝ่าฝืนกฎกระทรวงว่าด้วยความประพฤติของนักเรียนและนักศึกษา
หรือระเบียบของโรงเรียนหรือสถานศึกษา
2.เรียกให้ผู้ปกครอง
ครู อาจารย์ หรือหัวหน้าสถานศึกษาที่นักเรียนหรือนักศึกษานั้นกำลังศึกษาอยู่มารับตัวนักเรียนหรือนักศึกษา
เพื่อว่ากล่าว อบรม สั่งสอน ต่อไป
3.ให้คำแนะนำแก่ผู้ปกครองในเรื่องการอบรมและสั่งสอนนักเรียนหรือนักศึกษา
4.เรียกผู้ปกครองมาว่ากล่าวตักเตือนหรือทำทัณฑ์บนว่าจะปกครองดูแลมิให้นักเรียนหรือ
นักศึกษาฝ่าฝืนกฎกระทรวงว่าด้วยความประพฤติของนักเรียนและนักศึกษา
หรือระเบียบของโรงเรียนหรือสถานศึกษาอีก
5.สอดส่อง
ดูแล รวมทั้งรายงานต่อคณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติเกี่ยวกับพฤติกรรมของบุคคล
หรือแหล่งที่ชักจูงนักเรียนและนักศึกษาให้ประพฤติในทางมิชอบ
6.ประสานงานกับผู้บริหารโรงเรียนหรือสถานศึกษา
ครู ผู้ปกครอง ตำรวจ หรือพนักงานเจ้าหน้าที่อื่น
18.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียน พ.ศ.2551
ตอบ ระเบียบกระทรวงศึกษาว่าด้วยเรื่อง
เครื่องแบบนักเรียน พ.ศ.2551
ประกาศใช้เมื่อ
วันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2551
ผู้ลงนามในระเบียบ
นายศรีเมือง เจริญศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เนื้อหาสาระที่ได้หรือค้นพบจากระเบียบนี้
ให้สถานศึกษาโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการสถานศึกษากำหนดให้รายละเอียดเกี่ยวกับการแต่ง วิธีการ และเงื่อนไขในการแต่งเครื่องแบบนักเรียนดังนี้
ชนิดและแบบของเครื่องแบบ
รวมทั้งจัดทำรูปเครื่องแบบตามระเบียบนี้ไว้เป็นตัวอย่างเครื่องหมายของสถานศึกษา
การกำหนดรายละเอียดตามวรรคหนึ่งให้สถานศึกษาขอความเห็นชอบจากผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง หรือผู้กำกับดูแลสถานศึกษานั้น แล้วแต่กรณี
และปรกาศให้นักเรียนและผู้ปกครองนักเรียนทราบสถานศึกษาใดมีความประสงค์จะขอใช้เครื่องแบบเป็นอย่างอื่นนอกจากที่กำหนดในระเบียบนี้ให้ขออนุญาตต่อผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไปอีกชั้นหนึ่งหรือผู้กำกับดูแลสถานศึกษานั้นแล้วแต่กรณี
สถานศึกษาใดจะกำหนดให้นักเรียนแต่งเครื่องแบบลูกเสือ เนตรนารี
ยุวกาชาด
นักศึกษาวิชาทหารหรือแต่งชุดพื้นเมือง
ชุดไทย ชุดลำลอง ชุดฝึกงาน
ชุดกีฬา ชุดนาฏศิลป์ หรือชุดอื่น ๆ แทนเครื่องแบบนักเรียนตามระเบียบนี้ในวันใด
ให้เป็นไปตามที่สถานศึกษากำหนดโดยคำนึงถึงความประหยัดและเหมาะสม
ในกรณีมีเหตุจำเป็นหรือมีเหตุพิเศษให้สถานศึกษาพิจารณายกเว้นหรือผ่อนผันการแต่งเครื่องแบบนักเรียนได้ตามความเหมาะสม
นักเรียนซึ่งศึกษาในสถานศึกษาที่จัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยให้แต่งกายสุภาพ
นักเรียนผู้ใดไม่แต่งเครื่องแบบนักเรียนโดยไม่ได้รับยกเว้นตามระเบียบนี้ให้สถานศึกษาพิจารณาลงโทษทางวินัยตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียนตามความเหมาะสม
สถานศึกษาใดที่ใช้เครื่องแบบนักเรียนอยู่แล้วตามระเบียบเดิม
หรือใช้เครื่องแบบเป็นอย่างอื่นโดยได้รับอนุญาตจากกระทรวงศึกษาธิการก่อนวันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับให้คงใช้ได้ต่อไป
ให้ปลัดกระทรวงศึกษาธิการรักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้
และให้มีอำนาจตีความและวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบนี้
19.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยหลักฐานในการรับนักเรียนนักศึกษา เข้าเรียนในสถานศึกษา พ.ศ.2548
ตอบ ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ
ว่าด้วยหลักฐานในการรับนักเรียนนักศึกษาเข้าเรียนในสถานศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๘ประกาศ ณ
วันที่ ๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๘ โดยจาตุรนต์ ฉายแสง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ลงนามในระเบียบนั้น
เนื้อหาสาระที่ได้หรือค้นพบจากระเบียบนี้ ที่จะต้องนำไปปฏิบัติ คือ ในระเบียบนี้
“สถานศึกษา” หมายความว่า
สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย โรงเรียน ศูนย์การเรียน วิทยาลัย สถาบัน
มหาวิทยาลัย
หน่วยงานการศึกษาหรือหน่วยงานอื่นของรัฐหรือของเอกชน ที่มีอำนาจหน้าที่หรือมีวัตถุประสงค์ในการจัดการศึกษา
“หลักฐานทางการศึกษา” หมายความว่า
เอกสารอันเป็นหลักฐานทางการศึกษาของนักเรียน
นักศึกษา ได้แก่
ทะเบียนนักเรียนนักศึกษา สมุดประจำตัวนักเรียนนักศึกษา สมุดประจำชั้น
บัญชีเรียกชื่อใบส่งตัวนักเรียนนักศึกษา หลักฐานแสดงผลการเรียน ประกาศนียบัตร
หรือเอกสารอื่นใดในลักษณะเดียวกันหรือเอกสารที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดให้เป็นหลักฐานทางการศึกษา
ตามระเบียบนี้
“องค์กรเอกชน” หมายความว่า
สมาคม มูลนิธิ หรือองค์กรที่เรียกชื่ออย่างอื่นซึ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล
ข้อ ๕ ให้สถานศึกษาถือเป็นหน้าที่ ในการที่จะรับเด็กที่อยู่ในวัยการศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาภาคบังคับ
เข้าเรียนในสถานศึกษากรณีเด็กย้ายที่อยู่ใหม่ สถานศึกษาต้องอำนวยความสะดวก
และติดตามให้เด็กได้เข้าเรียนในสถานศึกษาที่ใกล้กับที่อยู่ใหม่
ข้อ ๖
การรับนักเรียนนักศึกษาในกรณีที่ไม่เคยเข้าเรียนในสถานศึกษามาก่อน ให้สถานศึกษา
เรียกหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่งตามลำดับเพื่อนำมาลงหลักฐานทางการศึกษา
ดังต่อไปนี้
(๑)สูติบัตร
(๒)กรณีที่ไม่มีหลักฐานตาม(๑)ให้เรียกหนังสือรับรองการเกิด
บัตรประจำตัวประชาชน
สำเนาทะเบียนบ้านฉบับเจ้าบ้าน
หรือหลักฐานที่ทางราชการจัดทำขึ้นในลักษณะเดียวกัน
(๓)ในกรณีที่ไม่มีหลักฐานตาม(๑)หรือ(๒)ให้เรียกหลักฐานที่ทางราชการออกให้
หรือเอกสารตามที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดให้ใช้ได้
(๔)ในกรณีที่ไม่มีหลักฐานตาม(๑)(๒)และ(๓)ให้บิดา
มารดา ผู้ปกครอง หรือองค์กรเอกชนทำบันทึกแจ้งประวัติบุคคล ตามแบบแนบท้ายระเบียบนี้
เป็นหลักฐานที่จะนำมาลงหลักฐานทางการศึกษา
(๕)ในกรณีที่ไม่มีบุคคล
หรือองค์กรเอกชนตาม(๔)ให้ซักถามประวัติบุคคลผู้มาสมัครเรียนหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อนำลงรายการบันทึกแจ้งประวัติบุคคลตามแบบแนบท้ายระเบียบนี้เป็นหลักฐานที่จะนำมาลงหลักฐานทางการศึกษา
ข้อ ๗
ให้สถานศึกษาจัดเก็บสำเนาเอกสารหลักฐานตามข้อ ๖
(๑)(๒)และ(๓)ซึ่งได้รับรองความถูกต้องแล้ว ไว้เป็นหลักฐาน
และคืนต้นฉบับแก่ผู้ปกครองสำหรับหลักฐานบันทึกแจ้งประวัติบุคคล ตามข้อ
๖(๔)และ(๕)ให้เก็บต้นฉบับไว้ที่สถานศึกษานั้น
ข้อ ๘
ในขณะที่นักเรียนนักศึกษายังศึกษาอยู่ในสถานศึกษา
เมื่อปรากฏว่ามีหลักฐานตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร มาแสดงภายหลัง
ให้สถานศึกษาแก้ไขหลักฐานทางการศึกษาให้เป็นไปตามหลักฐานดังกล่าว
โดยถือปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการนั้น
ข้อ ๙ การบันทึกในหลักฐานทางการศึกษา
ให้สถานศึกษาปฏิบัติดังนี้
(๑)ในกรณีที่เป็นหลักฐานทางการศึกษาเป็นรายบุคคล
เช่น สมุดประจำตัวนักเรียน นักศึกษาใบส่งตัว ประกาศนียบัตร เป็นต้น
ไม่ต้องบันทึกหมายเหตุใด ๆ
(๒)ในกรณีที่เป็นหลักฐานทางการศึกษาเป็นหลักฐานรวมที่ใช้บันทึกข้อมูลของนักเรียน
นักศึกษาทั้งชั้นเรียน หรือจำนวนมากกว่าหนึ่งคน เช่น ทะเบียนนักเรียนนักศึกษา
สมุดประจำชั้น บัญชีเรียกชื่อเป็นต้น
ให้หัวหน้าสถานศึกษาหรือผู้ได้รับมอบหมายบันทึกไว้เฉพาะในสมุดทะเบียนนักเรียนนักศึกษาโดยบันทึกลงในช่องหมายเหตุพร้อมกับลงนามกำกับข้อความว่า
“ไม่มีหลักฐานตามกฎหมายว่าด้วยการ"ทะเบียนราษฎร”
ข้อ ๑๐
ให้ปลัดกระทรวงศึกษาธิการรักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้
และให้มีอำนาจตีความและวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบนี้
20.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยปีการศึกษา
การเปิดและปิด สถานศึกษา พ.ศ.2549
ตอบ ระเบียบกระทรวงศึกษาว่าด้วยเรื่อง
ปีการศึกษา การเปิดและปิดสถานศึกษา พ.ศ.2549
ประกาศใช้เมื่อ
วันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2549 ผู้ลงนามในระเบียบ
คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา
ผู้ใช้อำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เนื้อหาสาระที่ได้หรือค้นพบจากระเบียบนี้
ปีการศึกษา ภาคเรียนที่
1 เปิดเรียน 16 พฤษภาคม ปิด 11 ตุลาคม ในปีเดียวกันภาคเรียนที่
2 เปิด 1 พฤศจิกายน ปิด 1 เมษายน ในปีถัดไป ว่าด้วยการปิดเรียนกรณีพิเศษ
คือ ปิดเพราะใช้สถานที่จัดกิจกรรมเสริมหลักสูตร จัดอบรมสัมมนา เข้าค่าย พักแรม
หรือกิจกรรมอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน หรือกรณีอื่น ๆ
ที่ไม่สามารถเปิดเรียนตามปกติได้ ผู้อำนวยการโรงเรียน สั่งปิดได้ไม่เกิน 7 วัน
โดยต้องมีคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษร แต่สั่งด้วยวาจาก่อนในกรณีจำเป็นได้
แต่ต้องจัดทำคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรให้เรียบร้อยภายใน 3 วัน
ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่ฯสั่งปิดได้ไม่เกิน 15 วัน ว่าด้วยการปิดเรียนเหตุพิเศษ
คือเหตุจากสาธารณภัยหรือภัยพิบัติต่าง ๆ ผอ.ร.ร.สั่งปิดได้ไม่เกิน 15 วัน
ผอ.สำนักงานเขตฯ สั่งปิดได้ไม่เกิน 30 วัน
หากปิดครบแล้วเหตุการณ์ยังไม่สงบจะสั่งปิดต่อไปอีกได้โดยให้อยู่ในดุลยพินิจของ
ผู้อำนวยการโรงเรียน ระหว่างปิดนั้น ผอ.ร.ร.จะสั่งให้ครูมาปฏิบัติราชการด้วยก็ได้
ปิดแล้วต้องจัดวันเปิดสอนชดเชยให้ครบตามจำนวนวันเปิดเรียนปกติที่ปิดไปด้วย
21.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการ พ.ศ. 2550
ตอบ ระเบียบกระทรวงศึกษาว่าด้วยเรื่อง
ว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการ
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการจ่ายเงินตอบแทน
การปฏิบัติงานนอกเวลาราชการ
พ.ศ.2536 ให้มีความชัดเจน สอดคล้องกับการปฏิบัติงานที่มุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์
และเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน
ประกาศใช้เมื่อ
วันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2550
ผู้ลงนามในระเบียบ
นายปรีดิยาธร เทวกุลรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
เนื้อหาสาระที่ได้หรือค้นพบจากระเบียบนี้
“เวลาราชการ” หมายความว่า เวลาระหว่าง 08.30 ถึง
16.30 น. ของวันทำการ
และให้หมายความรวมถึงช่วงเวลาอื่นที่ส่วนราชการกำหนดให้ข้าราชการในสังกัดปฏิบัติงานเป็นผลัดหรือกะหรือเป็นอย่างอื่นด้วย
“วันทำการ” หมายความว่า วันจันทร์ถึงวันศุกร์
และให้หมายความรวมถึงวันทำการ ที่ส่วนราชการกำหนดเป็นอย่างอื่นด้วย
“วันหยุดราชการ” หมายความว่า วันเสาร์และวันอาทิตย์
หรือวันหยุดราชการประจำสัปดาห์ที่ส่วนราชการกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
และให้หมายความรวมถึงวันหยุดราชการประจำปีหรือวันหยุดพิเศษอื่น ๆ
ที่คณะรัฐมนตรีกำหนดให้เป็นวันหยุดราชการนอกเหนือจากวันหยุดราชการประจำปี
“การปฏิบัติงานเป็นผลัดหรือกะ” หมายความว่า
การปฏิบัติงานประจำตามหน้าที่ของข้าราชการในส่วนราชการนั้น ๆ
ซึ่งจัดให้มีการปฏิบัติงานผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงช่วงเวลาที่ปฏิบัติงานดังกล่าวถือเป็นเวลาราชการของข้าราชการผู้นั้น
ทั้งนี้ การปฏิบัติงานในผลัดหรือกะหนึ่ง ๆ ต้องมีเวลาไม่น้อยกว่าแปดชั่วโมง
โดยรวมเวลาหยุดพัก
การปฏิบัติงานนอกเวลาราชการต้องได้รับอนุมัติจากหัวหน้าส่วนราชการ
เจ้าของงบประมาณหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายก่อนการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการ
โดยให้พิจารณาเฉพาะ
ช่วงเวลาที่จำเป็นต้องอยู่ปฏิบัติงานนอกเวลาราชการในครั้งนั้น
ๆ เพื่อประโยชน์ของงานราชการ
เป็นสำคัญ
และให้คำนึงถึงความเหมาะสมและสอดคล้องกับระบบและวิธีการจัดการงบประมาณแบบ
มุ่งเน้นผลงานตามยุทธศาสตร์ของส่วนราชการ
กรณีที่มีราชการจำเป็นเร่งด่วนต้องปฏิบัติงานนอกเวลาราชการ
โดยยังไม่ได้รับอนุมัติ
ตามวรรคหนึ่ง
ให้ดำเนินการขออนุมัติจากผู้มีอำนาจโดยไม่ชักช้า
และให้แจ้งเหตุแห่งความจำเป็นที่ไม่อาจขออนุมัติก่อนได้
กรณีข้าราชการได้รับคำสั่งให้เดินทางไปราชการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการอนุมัติให้เดินทางไปราชการและการจัดการประชุมของทางราชการ
พ.ศ. 2524 ไม่มีสิทธิได้รับเงินตอบแทน
เว้นแต่ได้รับอนุมัติให้ปฏิบัติงานนอกเวลาราชการก่อนการเดินทาง เมื่อการ
เดินทางไปราชการนั้นเสร็จสิ้นและกลับถึงที่ตั้งสำนักงานในวันใด
หากจำเป็นต้องปฏิบัติงานนอกเวลาราชการในวันนั้น ให้เบิกเงินตอบแทนได้
22.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยสมุดหมายเหตุรายวัน พ.ศ.2549
ตอบ ระเบียบกระทรวงศึกษาว่าด้วยเรื่อง
สมุดหมายเหตุรายวัน พ.ศ.2549
ประกาศใช้เมื่อ
วันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2549
ผู้ลงนามในระเบียบ
คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา
ผู้ใช้อำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
เนื้อหาสาระที่ได้หรือค้นพบจากระเบียบนี้
การลงทะเบียนนักเรียน
ตามปกติต้องลงด้วยปากกาหมึกซึมสีดำ ห้ามการขูดลบเพิ่มเติม ถ้าเขียนผิดพลาดหรือตก
จาเป็นต้องแก้ไข ก็ให้ขีดฆ่าด้วยปากกาหมึกซึมสีแดงโดยประณีต
แล้วเขียนใหม่ด้วยปากกาหมึกซึมสีแดง การแก้ไขให้หัวหน้าสถานศึกษาเป็นผู้แก้ไข
แล้วลงนาม วัน เดือน ปี ย่อกำากับไว้ด้วยทุกแห่ง
กับให้ลงบันทึกแสดงเหตุผลที่แก้ไว้ในสมุดหมายเหตุรายวันด้วยการลงทะเบียนนักเรียนลงแล้วให้เป็นแล้วไป
จะคัดลอกขึ้นหน้าใหม่ไม่ได้นอกจากได้รับอนุญาตจากหัวหน้าหน่วยงานเจ้าสังกัดที่สูงกว่าสถานศึกษาชั้นหนึ่ง
สถานศึกษาเอกชนที่ตั้งอยู่ในส่วนกลางต้องได้รับอนุญาตจากผู้อำานวยการกองทะเบียน
ที่ตั้งอยู่ในส่วนภูมิภาคต้องได้รับอนุญาตจากศึกษาธิการอำาเภอ
กรณีการแก้
วัน เดือน ปีเกิด ถ้าเป็นนักเรียนที่อยู่ในเกณฑ์บังคับเข้าเรียนตามกฎหมายว่าด้วยประถมศึกษา
ให้หัวหน้าหน่วยงานเจ้าสังกัดที่สูงกว่าสถานศึกษาชั้นหนึ่งเป็นผู้พิจารณาอนุญาตสถานศึกษาเอกชนที่ตั้งอยู่ในส่วนกลางให้ผู้อำานวยการกองทะเบียน
เป็นผู้พิจารณาอนุญาต
ที่ตั้งอยู่ในส่วนภูมิภาคให้ศึกษาธิการอำาเภอเป็นผู้พิจารณาอนุญาต ส่วนนักเรียนหรือนักศึกษาที่ไม่อยู่ในเกณฑ์บังคับเข้าเรียนตามกฎหมายว่าด้วยประถมศึกษา
ให้หัวหน้าสถานศึกษาเป็นผู้พิจารณาแก้ไขได้
กับให้ลงบันทึกแสดงเหตุผลที่แก้ไขไว้ในสมุดหมายเหตุรายวันด้วย
ถ้าการแก้
วัน เดือน ปีเกิด ของนักเรียนหรือนักศึกษาเป็นกรณีที่จะต้องจัดทำทะเบียนเก็บไว้เป็นหลักฐานที่จังหวัด
หรือที่กรมเจ้าสังกัด เช่น นักเรียนทุนต่าง ๆ เป็นต้น เมื่อผู้มีอำานาจได้
สั่งให้แก้แล้วให้รายงานผู้ว่าราชการจังหวัดหรือกรมเจ้าสังกัดทราบด้วย
23.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการให้ข้าราชการลาไปศึกษาต่อและฝึกอบรมภายในประเทศ พ.ศ.2538
ตอบ ระเบียบกระทรวงศึกษาว่าด้วยเรื่อง
การให้ข้าราชการลาไปศึกษาต่อ และฝึกอบรมภายในประเทศ
ประกาศใช้เมื่อ
วันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2538
ผู้ลงนามในระเบียบ
นายสุขวิช รังสิตพล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
เนื้อหาสาระที่ได้หรือค้นพบจากระเบียบนี้
ขั้นตอนการดำเนินการศึกษาต่อภายในประเทศ ภาคปกติ ประเภท ก
1. สพฐ. พิจารณาโควตาประเภท ก
ที่ได้รับการจัดสรรจากสถาบันการศึกษาให้สพท. ตามความเหมาะสม
2. สพท. ประสานงานกับสถาบันการศึกษา เพื่อขอโควตา ประเภท ก เพิ่ม
และดำเนินการคัดเลือกตามระเบียบ หลักเกณฑ์ และแนวปฏิบัติที่ สพฐ. กำหนด
3. โรงเรียนประสานกับสถาบันการศึกษา
เพื่อขอโควตาประเภท ก เพิ่ม และดำเนินการคัดเลือกตามระเบียบ หลักเกณฑ์
และแนวปฏิบัติที่ สพฐ. กำหนด
4. สพท.
แจ้งรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกไปยังสถาบันการศึกษาโดยตรงพร้อมทั้งแจ้งผู้ได้รับ
การคัดเลือกไปดำเนินการตามขั้นตอนของสถาบันการศึกษาและรายงานสพฐ. ทราบ
5.
ขั้นตอนการดำเนินการลาศึกษาของข้าราชการ
5.1
ข้าราชการขออนุญาตลาศึกษาต่อผู้มีอำนาจอนุญาต
5.2 จัดทำสัญญา
และสัญญาค้ำประกันตามแบบที่กำหนด
6.
ขั้นตอนการดำเนินการของผู้มีอำนาจอนุญาต (ผู้บริหารสถานศึกษา/สพท./สพฐ.)
6.1 จัดทำคำสั่งให้ไปศึกษาต่อ
6.2
จัดทำหนังสือส่งตัวข้าราชการที่ได้รับอนุญาตให้ลาศึกษา ไปยังสถาบันการศึกษา
7.
การรายงานจำนวนข้าราชการที่ได้รับอนุญาต
การรายงานจำนวนข้าราชการที่ได้รับอนุญาตให้ลาศึกษา/ขยายเวลา/กลับเข้าปฏิบัติราชการเมื่อ เสร็จสิ้นการลาศึกษาต่อโดยรายงานให้สพฐ.
ทราบทุกภาคการศึกษา
การลาศึกษาต่อ
1.ระดับปริญญาตรี ปริญญาโท
กำหนด 2 ปี
2.ระดับปริญญาเอก กำหนด 4 ปี
2.1
คุณวุฒิและสาขาวิชา/วิชาเอกที่ สำนักงาน ก.พ. และ ก.ค. หรือ ก.ค.ศ.
กำหนด/และเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานในหน้าที่ กรณีนอกเหนือจากที่ประกาศสพฐ.
กำหนด ให้เสนอสพฐ. พิจารณาเป็นรายๆ ไปยื่นแบบขออนุญาตให้ ข้าราชการไปศึกษาต่อภาย
24.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการให้ข้าราชการลาไปศึกษาต่อ และฝึกอบรมภายในประเทศ (ฉบับที่2)พ.ศ.2547
ตอบ ระเบียบกระทรวงศึกษาว่าด้วยเรื่อง
การให้ข้าราชการลาไปศึกษาต่อ และฝึกอบรมภายในประเทศ (ฉบับที่2) พ.ศ.2547
ประกาศใช้เมื่อ
วันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2547
ผู้ลงนามในระเบียบ
นายอดิศัย โพธารามิก
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
เนื้อหาสาระที่ได้หรือค้นพบจากระเบียบนี้
คุณสมบัติผู้ลาศึกษาต่อ
1. ต้องมีเวลารับราชการติดต่อกันไม่น้อยกว่า 24
เดือนเต็ม ทั้งนี้นับถึงวันที่ 15มิถุนายน ของปีที่จะเข้าศึกษา
กรณีมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ข้าราชการที่มีเวลารับราชการติดต่อกันน้อยกว่า
24 เดือนเต็ม แต่ไม่น้อยกว่า 12 เดือนเต็ม
ไปศึกษาต่อในสาขาวิชาที่เป็นประโยชน์และจำเป็นอย่างยิ่ง จะต้องได้รับอนุญาตจากผู้มีอำนาจอนุญาตเป็นรายๆ
ไป
2. มีอายุไม่เกิน 45 ปี บริบูรณ์ นับถึงวันที่ 15
มิถุนายน ของปีที่จะเข้าศึกษากรณีอายุเกิน 45 ปี
จะต้องได้รับอนุญาตจากผู้มีอำนาจอนุญาตเป็นกรณีพิเศษเฉพาะรายทั้งนี้ต้องมีเวลากลับมาปฏิบัติราชการชดใช้ทุนครบก่อนเกษียณอายุราชการ
3.ปฏิบัติราชการด้วยดี
มีความประพฤติเรียบร้อย และไม่อยู่ระหว่างถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัย ในกรณีที่ถูกลงโทษทางวินัย
ระดับโทษต้องไม่สูงกว่าโทษภาคทัณฑ์
ข้าราชการที่ถูกลงโทษตัดเงินเดือนจะไปศึกษาต่อได้
เมื่อพ้นโทษตัดเงินเดือนแล้ว หรือถ้าเป็น
ผู้ถูกลงโทษลดขั้นเงินเดือนจะไปศึกษาต่อได้
เมื่อถูกลงโทษลดขั้นเงินเดือนแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่าหกเดือน
ข้าราชการที่อยู่ในระหว่างลาศึกษาต่อภายในประเทศภาคปกติ จะสมัครสอบหรือสอบคัดเลือกเพื่อไปศึกษา
หรือฝึกอบรมอื่นใดมิได้
4.มีคุณสมบัติและพื้นความรู้ตามระเบียบที่สถาบันการศึกษานั้นๆ
กำหนดไว้
5.ข้าราชการที่เคยได้รับอนุญาตให้ไปศึกษาต่อภาคปกติ
หรือศึกษาต่อต่างประเทศแล้วจะศึกษาต่ออีก ต้องกลับไปปฏิบัติราชการตามที่กำหนดในข้อ
1
กรณีที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ข้าราชการซึ่งกลับมาปฏิบัติราชการไม่ครบตามกำหนดไปศึกษาต่ออีก จะต้องได้รับอนุญาตจากผู้มีอำนาจอนุญาตเป็นรายๆ
ไป จำนวนผู้ที่จะได้รับการคัดเลือกให้ไปศึกษาต่อ ต้องไม่เกิน 5% ของจำนวนข้าราชการในสถานศึกษา
หรือ หน่วยงานนั้นๆ ทั้งนี้
รวมทั้งข้าราชการที่กำลังศึกษาต่ออยู่ภายในประเทศและต่างประเทศด้วย
เศษถึงครึ่งให้ปัดเป็น 1 คน (ไม่นับฝ่ายบริหาร)
และข้าราชการที่เหลืออยู่จะต้องสอนไม่เกินคนละ 22 คาบต่อสัปดาห์ ในหมวดวิชานั้นๆ
หรืออยู่ในดุลยพินิจของผู้มีอำนาจอนุญาต
สถานศึกษาหรือหน่วยงานใด
มีข้าราชการจำนวนน้อย และคิดเป็นโควตาไม่ได้ แต่มีผู้สอบคัดเลือกเพื่อศึกษาต่อได้
ให้ศึกษาต่อได้โรงเรียนหรือหน่วยงานละไม่เกิน 1 คน
25.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยใบสุทธิของสถานศึกษา
และหนังสือ รับรองความรู้ของสถานศึกษา พ.ศ.2547
ตอบ ระเบียบกระทรวงศึกษาว่าด้วยเรื่อง
ใบสุทธิของสถานศึกษา และหนังสือรับรองความรู้ของสถานศึกษา พ.ศ.2547
ประกาศใช้เมื่อ
วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2547
ผู้ลงนามในระเบียบ
นายอดิศัย โพธารามิก
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
เนื้อหาสาระที่ได้หรือค้นพบจากระเบียบนี้ การออกหนังสือรับรองความรู้
สถานศึกษาจะออกได้เฉพาะในกรณีที่สถานศึกษาไม่สามารถออกใบสุทธิให้หรือสำเนาต้นขั้วใบสุทธิให้ได้เท่านั้น
ซึ่งอาจมีเหตุจากต้นขั้วใบสุทธิสูญหายหรือไม่ปรากฏหลักฐานการออกใบสุทธิ หรือไม่ปรากฏหลักฐานอื่นใด เมื่อสถานศึกษาใด
พบกรณีดังได้กล่าวมานี้ต้องปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ
ว่าด้วยใบสุทธิของสถานศึกษาและหนังสือรับรองความรู้ของสถานศึกษา พ.ศ.2547 ข้อ 6
มีขั้นตอนการปฏิบัติให้สถานศึกษาไต่สวนและรวบรวมพยานหลักฐานก่อน กล่าวคือสอบสวนให้ได้ความจริงว่า “บุคคลผู้มาขอหนังสือรับรองความรู้จบการศึกษาในสถานศึกษานั้นจริงหรือไม่” อาจสอบสวนหาพยานหลักฐานเอกสารก่อน หากไม่ปรากฏร่อยรอยจากพยานเอกสารเลยก็จำเป็นต้องหาพยานหลักฐานจากพยานบุคคล
สถานศึกษาต้องไต่สวนจนกระทั่งได้หลักฐานเพียงพอว่าบุคคลนั้นจบการศึกษาจริง แล้วรายงานผลการไต่สวน
ให้หน่วยงานต้นสังกัดเหนืออีกชั้นหนึ่งพิจารณาว่าเห็นควรให้ออกหนังสือรับรองความรู้ ให้หรือไม่
หากเห็นว่าหลักฐานเชื่อถือได้
ก็จะอนุญาตให้สถานศึกษาออกหนังสือรับรองความรู้ให้ สถานศึกษา ไม่มีอำนาจพิจารณาเอง
26.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยสถาบันศึกษาปอเนอะ พ.ศ.2547
ตอบ ระเบียบกระทรวงศึกษาว่าด้วยเรื่อง
สถาบันศึกษาปอเนอะ พ.ศ.2547
ประกาศใช้เมื่อ
วันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2547
ผู้ลงนามในระเบียบ
นายอดิศัย โพธารามิก
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
เนื้อหาสาระที่ได้หรือค้นพบจากระเบียบนี้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมายเป็นนายทะเบียนสถาบันศึกษาปอเนอะจังหวัด
ทำหน้าที่จดทะเบียนสถาบันปอเนอะและมีหน้าที่ส่งเสริม กำกับ
และสนับสนุนสถานศึกษาปอเนอะที่ได้จดทะเบียนแล้ว
ให้นายทะเบียนออกหลักฐานการจดทะเบียนสถาบันสถานศึกษาปอเนอะ ภายใน 30 วัน
นับแต่วันที่ได้รับร้องขอ พร้อมเอกสารครบถ้วน ถูกต้อง ตามแบบ ป.น. 2 เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาชุมชนอิสลามให้สอดคล้องกับสภาพในปัจจุบันกระทรวงศึกษาธิการอาจส่งเสริมและพัฒนาสถาบันศึกษาปอเนาะตามความเหมาะสม
27.ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยสถาบันศึกษาปอเนอะ
(ฉบับที่2) พ.ศ.2548
ตอบ ระเบียบกระทรวงศึกษาว่าด้วยเรื่อง
สถาบันศึกษาปอเนอะ
ด้วยกระทรวงศึกษาธิการเห็นสมควรแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยสถาบันศึกษาปอเนาะ
พ.ศ. 2547 ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับข้อเท็จจริงประกาศใช้เมื่อ วันที่ 7 กันยายน
พ.ศ. 2548 ผู้ลงนามในระเบียบ นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
เนื้อหาสาระที่ได้หรือค้นพบจากระเบียบนี้ ให้ยกเลิกคำนิยามคำว่า “โต๊ะครู”
และ “ผู้ช่วยโต๊ะครู” ในข้อ
3 แห่งระเบียบ กระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยสถาบันศึกษาปอเนาะ พ.ศ. 2547
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ
ว่าด้วยสถาบันศึกษาปอเนาะ(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๘”
ข้อ ๒ ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๘
เมษายน ๒๕๔๗ เป็นต้นไป
ข้อ ๓ ให้ยกเลิกคำนิยามคำว่า “โต๊ะครู”
และ “ผู้ช่วยโต๊ะครู” ในข้อ
๓ แห่งระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยสถาบันศึกษาปอเนาะ พ.ศ. ๒๕๔๗
และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน“โต๊ะครู” หมายความว่า
ผู้สอนที่มีความรู้ด้านศาสนาอิสลามเป็นอย่างดีเป็นที่เคารพนับถือของชุมชนและเป็นเจ้าของปอเนาะ
“ผู้ช่วยโต๊ะครู” หมายความว่า
ผู้ที่มีความรู้ด้านศาสนาอิสลามเป็นอย่างดีซึ่งโต๊ะครูให้ช่วยสอนในปอเนาะ
ข้อ ๔ ให้ยกเลิกข้อความในข้อ ๔
แห่งระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยสถาบันศึกษา
ปอเนาะ
พ.ศ. ๒๕๔๗ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“ข้อ ๔
โต๊ะครูเจ้าของปอเนาะใดประสงค์จะจดทะเบียนเป็นสถาบันศึกษาปอเนาะให้ยื่นคำขอต่อนายทะเบียนตามแบบ
ป.น. ๑ ท้ายระเบียบนี้”
ข้อ
๕ ให้ยกเลิกข้อความในข้อ ๑๒ แห่งระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยสถาบันศึกษา
ปอเนาะ
พ.ศ. ๒๕๔๗ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
28.ระเบียบสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานว่าด้วย
การมอบอำนาจในการสั่ง การอนุญาต การอนุมัติ การปฏิบัติราชการหรือการดำเนินการอื่น ของผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา พ.ศ.2546
ตอบ ระเบียบกระทรวงศึกษาว่าด้วยเรื่อง
การมอบอำนาจในการสั่ง การอนุญาต การอนุมัติ การปฏิบัติราชการหรือการ ดำเนินการอื่น
ของผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษาประกาศใช้เมื่อ
วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2546 ผู้ลงนามในระเบียบ
นายไพฑูรย์ จัยสิน อธิบดีกรมสามัญศึกษา รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการ เนื้อหาสาระที่ได้หรือค้นพบจากระเบียบนี้
การมอบหมายหรือมอบอำนาจให้ข้าราชการปฏิบัติราชการแทน
ให้คำนึงถึงความเป็นอิสระ
การบริหารงานที่คล่องตัวในการจัดการศึกษา ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
รวมทั้งความรู้ ความสามารถและความเหมาะสมอื่นๆ ของผู้รับมอบอำนาจเพื่อประโยชน์สูงสุดของทางราชการในระยะเริ่มแรกที่มีการกำหนดตำแหน่งอัตรา
หรือแต่งตั้งข้าราชการดำรงตำแหน่งตามโครงสร้างใหม่ ผู้อำนวยการมอบหมาย
หรือมอบอำนาจตามระเบียบนี้
29.ระเบียบสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานว่าด้วยหลักเกณฑ์ การตรวจสอบ กำกับ ติดตาม ดูแล และรายงานผลการใช้อำนาจของ ผู้รับมอบอำนาจ พ.ศ.2551
ตอบ ระเบียบสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานว่าด้วยหลักเกณฑ์
การตรวจสอบ กำกับ ติดตาม ดูแล และรายงานผลการใช้อำนาจของ ผู้รับมอบอำนาจ
พ.ศ.2551ประกาศ ณ วันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2551 โดย คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา
เลขาธิการคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน เนื้อหาสาระที่ได้หรือค้นพบจากระเบียบนี้
ที่จะต้องนำไปปฏิบัติ คือ ในระเบียบการนี้
หน่วยงาน หมายความว่า
โรงเรียนสถานศึกษาที่เรียกชื่ออย่างอื่น สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้รับมอบอำนาจ หมายความว่า ผู้อำนวยการโรงเรียน
ผู้อำนวยการสถานศึกษาที่เรียกชื่ออย่างอื่น ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นฐานที่ได้รับมอบอำนาจตามคำสั่งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานให้ปฏิบัติราชการแทนเลขาธิการกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน
การใช้อำนาจ การตรวจสอบ กำกับ ติดตาม
ดูแลและรายงานผลการใช้อำนาจของผู้รับหมอบอำนาจมีวัตถุประสงค์ดังนี้
1.เพื่อประสานงานและเร่งรัดให้หน่วยงาน
นำนโยบายของรัฐบาล กระทรวงและสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไปจัดทำแผนงาน
งานและโครงการการให้ครบถ้วน
2.เพื่อให้การปฏิบัติงานของหน่วยงานและข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นไปโดนเรียนร้อย
มีประสิทธิภาพ ประหยัด และสมประโยชน์ต่อทางราชการ
3.เพื่อทราบความก้าวหน้า
ความสำเร็จ ปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะในการมอบอำนาจตามแผนงาน งานและโครงงาน
ตลอดจนผลกระทบอันจะพึงมี
4.เพื่อศึกษา
วิเคราะห์ ประมวล วิจัย ประเมินผลและเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
หรือเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานแล้วแต่กรณี
เพื่อทราบพิจารณาหรือวินิจฉัยสั่งการ
เพื่อปรับปรุงแก้ไขการมอบอำนาจให้เหมาะสมประโยชน์ต่อทางราชการ
เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานมีอำนาจในการสั่ง
การอนุญาต การอนุมัติ กรปฏิบัติราชการหรือการดำเนินการอื่นตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น
ให้มีอำนาจในการกำหนด หลักเกณฑ์วิธีการหรือแนวทางที่ใช้เป็นกรอบที่ชัดเจน
ในการกำกับดูแลการปฏิบัติราชการตามแผนงานและโครงการของผู้รับหมอบอำนาจดังนี้
1.วางนโยบาย
แนวทางการตรวจสอบและประเมินผลในหน่วยงานผู้รับหมอบอำนาจรวมถึงการกำหนดประเด็นหัวข้อการตรวจสอบประมวลผล
2.ให้ความเห็นชอบแนวทางการตรวจและประเมินผลของสำนักที่มีภารกิจด้านการตรวจสอบและประเมินผล
3.ส่งเสริม
ผลักดัน ตรวจสอบและเสนอแนะมาตรการ เพื่อให้แต่ละหน่วยงานของผู้รับหมอบอำนาจดำเดินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการตรวจสอบและประเมินผลการมอบอำนาจและหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
6.ให้หน่วยงานของผู้รับมอบอำนาจมีหน้าที่ดังนี้
1.อำนาจในการสะดวกในการตรวจราชการ
หรือตามความประสงค์ของสำนักที่มีภารกิจด้านการตรวจสอบและประเมินผล
2.แนะนำการปฏิบัติตามคำสั่งมอบอำนาจให้ข้าราชการในสังกัดได้ทราบอย่างถ่องแท้โดทั่วกัน
เพื่อให้การปฏิบัติราชการของข้าราชการเป็นในทางเดียวกัน และหากมีข้อกฎหมายระเบียบ
คำสั่ง ข้อบังคับ หนังสือ หรือมติคณะรันตรีที่ควรปรับปรุงการมอบอำนาจของเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
ก็ให้นำเหตุผลและรายละเอียดเสนอเพื่อพิจารณาเป็นกรณี
3.กรณีหน่วยงานผู้รับหมอบอำนาจให้ปฏิบัติราชการแทนได้ดำเนินการในเรื่องใดไปแล้วจะต้องรายงานไปยังส่วนราชการอื่นตามกฎหมาย
ให้รายงานสำนักงานสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐานทราบด้วย
4.จัดทำรายงานผลภาคปฏิบัติงานตามการมอบอำนาจ
ตามงานและโครงการที่กำหนดไว้ในลักษณะภาพรวมเพื่อทราบปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการมอบอำนาจต่อเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างน้อยปีละครั้ง
5.ปฏิบัติการอื่นตามที่เลขาธิการคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐานหมอบหมาย
30.ระเบียบสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานว่าด้วยการบริหาร จัดการเกี่ยวกับเงินรายได้สถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีฐานะเป็นนิติบุคคลใน สังกัดเขตพื้นที่การศึกษา พ.ศ.2549
ตอบ ระเบียบกระทรวงศึกษาว่าด้วยเรื่อง
การบริหารจัดการเกี่ยวกับเงินรายได้สถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีฐานะเป็นนิติบุคคลในสังกัดเขตพื้นที่การศึกษา
พ.ศ.2549 โดยที่ให้เป็นสมควรตามระเบียบการบริหาจัดการเกี่ยวกับเงินรายได้สถานศึกษา
ขั้นพื้นฐานที่มีฐานะเป็นนิติบุคคลในสังกัดเขตพื้นที่การศึกษาประกาศใช้เมื่อ
วันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 ผู้ลงนามในระเบียบ นางพรนิภา ลิมปพยอม เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเนื้อหาสาระที่ได้หรือค้นพบจากระเบียบนี้
สถานศึกษาต้องออกใบเสร็จรับเงินตามแบบที่ราชการกำหนดให้แก่ให้แก่ผู้ชำระเงินทุก
ครั้งที่มีการรับเงิน เว้นแต่กรณีที่ไม่สามารถออกใบเสร็จรับเงินได้
ให้ใช้หลักฐานการรับเงินตามแบบที่ทางราชการกำหนดและต้องควบคุมใบเสร็จและ
หลักฐานการเก็บเงินไว้เพื่อตรวจสอบได้ และให้สถานศึกษาเก็บเงินสดไว้เพื่อสำรองจ่ายในวงเงินที่ทางคณะกรรมการศึกษา
ขั้นพื้นฐานกำหนด
ห้ามมิให้นำเงินรายได้สถานศึกษาไปเป็นค่าใช้จ่ายของสถานศึกษาแห่งอื่น
เว้นแต่ได้รับอนุญาตจาเลขาธิการคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐานอำนาจการอนุมัติการจ่ายเงินและการก่อหนี้เงินผูกพันรายได้สถานศึกษา
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่เลขาธิการคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนด
31.ระเบียบสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานว่าด้วยการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของรัฐที่เป็นนิติบุคคลในสังกัดเขตพื้นที่การศึกษา พ.ศ.2551
ตอบ ระเบียบกระทรวงศึกษาว่าด้วยเรื่อง
ระเบียบสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานว่าด้วยการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของรัฐที่เป็นนิติบุคคล ใน สังกัดเขตพื้นที่การศึกษา
โดยเห็นเป็นการสมควรในการกำหนดระเบียบเกี่ยวกับการบริหารจัดการอสังหาริม
ทรัพย์ของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของรัฐที่เป็นนิติบุคคลให้เป็นไปในทางเดียวกัน ประกาศใช้เมื่อ วันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2551
ผู้ลงนามในระเบียบ คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา
เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เนื้อหาสาระที่ได้หรือค้นพบจากระเบียบนี้
การปกครอง ดูแล
บำรุงรักษาและใช้อสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมีผู้อุทิศให้หรือมีการจัดซื้อจากรายได้ของสถานศึกษา
ให้ผู้อำนวยการสถานศึกษารับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในนามสถานศึกษา
เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์และเก็บรักษาหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินไว้ในที่ปลอดภัยไม่ให้สูญหาย
ให้สถานศึกษาจัดทำทะเบียนรับและจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ที่สถานศึกษาไว้เป็นหลักฐานการรื้อและจำหน่ายอาคาร
สิ่งปลูกสร้าง อยู่ในดุลพินิจของผู้อำนวยการสถานศึกษา
โดยต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
การปกครอง
ดูแล
บำรุงรักษาและใช้ที่ราชพัสดุให้ถือปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่ราชพัสดุที่เกี่ยวข้อง
การปกครอง ดูแล บำรุงรักษาและใช้อสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมีผู้อุทิศให้หรือมีการจัดซื้อจากรายได้
ของสถานศึกษา ให้ผู้อำนวยการสถานศึกษารับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในนามสถานศึกษา
เป็นผู้ถือ
กรรมสิทธิ์และเก็บรักษาหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินไว้ในที่ปลอดภัยไม่ให้สูญหาย
ให้สถานศึกษาจัดทำทะเบียนรับและจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ที่สถานศึกษาไว้เป็นหลักฐาน
การรื้อและจำหน่ายอาคาร สิ่งปลูกสร้าง อยู่ในดุลพินิจของผู้อำนวยการสถานศึกษา
โดยต้องได้รับความเห็นชอบ จากคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน การปกครอง ดูแล
บำรุงรักษาและใช้ที่ราชพัสดุให้ถือปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่ราชพัสดุที่เกี่ยวข้อง